บทที่ 6 การพบกัน
นิคพยักหน้า ใบหน้าของเขาไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรมากนัก แล้วลุกขึ้นยืนอย่างใจเย็น
มาร์คก็ลุกขึ้นตามมา
มินนี่ดึงแขนเสื้อของเขาอีกครั้ง ใบหน้าของเธอดูร้อนรน เธอใกล้จะอั้นไม่ไหวแล้ว
อาจเป็นเพราะสัมผัสพิเศษของฝาแฝด แอนน์จึงเข้าใจความหมายของเธอ และถามขึ้นว่า “เธออยากไปห้องน้ำเหรอ?”
มินนี่พยักหน้า
แอนน์จูงมือเธอ “ฉันจะพาไปเอง”
ถึงแม้ว่านี่จะเป็นการเจอกันครั้งแรก แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับใบหน้าที่เหมือนกับตัวเองราวกับแกะ มินนี่ก็ไม่ได้ขัดขืน
สองพี่น้องจูงมือกันเข้าไปในห้องน้ำ
พี่ชายทั้งสองคนยืนรออยู่ที่หน้าห้องน้ำ
นิคยืนพิงกำแพงด้วยใบหน้าเรียบเฉย
มาร์คสงสัยใคร่รู้มาก จึงอดไม่ได้ที่จะลอบมองหน้าเขาอยู่เรื่อยๆ
นิคเหลือบมองกลับไป เขาก็หัวเราะแหะๆ แล้วยื่นมือออกไป “สวัสดี ฉันชื่อมาร์ค”
ดูท่าทางไม่ค่อยจะฉลาดนัก
นิคตอบกลับอย่างเย็นชาแค่ว่า “ฉันรู้”
“น่าเบื่อชะมัด” มาร์คบ่นอย่างเบื่อหน่าย “ทำไมนายถึงเหมือนท่านประธานเลย อ้อ ไม่สิ ต้องบอกว่า พวกนายทำตัวเหมือนคนแก่กันหมดเลย น่าเบื่อจริงๆ”
“แล้วอะไรที่เรียกว่าน่าสนุกกันล่ะ?” นิคอดไม่ได้ที่จะถาม
“พวกเราสี่คน...” มาร์คชี้มือไปมาระหว่างพวกเขาสองคน “น่าจะเป็นแฝดสี่ ยังไงก็ต้องจัดลำดับหนึ่ง สอง สาม สี่หน่อยสิ ใช่ไหม?”
นิคพยักหน้า “ฉันนิค นายมาร์ค มินนี่คนที่สาม แอนน์คนที่สี่”
“เพิ่งเจอกันครั้งแรก อย่าคุยกันตรงนี้เลย เราไปหาที่อื่นคุยกันดีๆ ดีกว่า ฉันเลี้ยงเอง เป็นไง?” มาร์คตบอกเล็กๆ ของตัวเอง ทำท่าทางใจป้ำมาก
“ได้”
นิคตอบตกลง
เมื่อน้องสาวทั้งสองคนออกมา ทุกคนก็พากันเดินตามมาร์คไป
ยังไงซะที่นี่ก็เป็นโรงแรมของครอบครัวเขา จึงมีฐานทัพลับแห่งหนึ่งที่ภวัตตั้งใจสร้างไว้ให้สองพี่น้องคู่นี้โดยเฉพาะ ซึ่งก็คือสนามเด็กเล่นขนาดเล็กนั่นเอง
หลังจากที่มาร์คเข้าไป เขาก็ล็อกประตูจากด้านในเพื่อป้องกันไม่ให้มีใครเข้ามา
ทุกคนนั่งลงเผชิญหน้ากัน ต่างคนต่างมองหน้ากันไปมา ในที่สุดมาร์คก็เป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน “ว่าแต่ ในเมื่อพวกเราเป็นแฝดสี่ แล้วทำไมถึงต้องแยกกันอยู่คนละที่ล่ะ?”
นิค: “เรื่องนี้พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกัน มามี้เข้าใจมาตลอดว่าพวกเธอสองคนตายไปแล้ว ทุกครั้งที่พูดถึงพวกเธอ มามี้จะเสียใจมาก”
“จริงเหรอ? มามี้ไม่ได้ทิ้งพวกเราไปใช่ไหม?” มาร์คถามอย่างตื่นเต้น
“แน่นอนว่าไม่” นิคถามต่อ “แล้วพวกเธอล่ะ? ทำไมพวกเธอถึงไม่...” ตาย
เขาอยากจะถามแบบนั้น แต่พอคำพูดมาถึงริมฝีปาก ก็รู้สึกว่าถามแบบนี้มันไม่ถูกต้อง ในชั่วขณะนั้นเลยนึกไม่ออกว่าควรจะถามอย่างไรดี
มาร์คโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่ารอดมาได้ยังไง คนที่ตระกูลวิศวะไม่เคยมีใครกล้าพูดถึงเรื่องมามี้ต่อหน้าพวกเราเลย แพรวาบอกว่า มามี้ของพวกเราเป็นผู้หญิงใจร้าย ผลักเธอตกบันได ฉันไม่เชื่อ เลยไปถามปะป๊า ปะป๊าก็บอกว่ามามี้ของพวกเราเสียชีวิตไปไม่นานหลังจากคลอดพวกเรา เขาไม่เคยบอกพวกเราเลยว่าฉันยังมีพี่ชายกับน้องสาวอีกคน”
พอพูดถึงตรงนี้ เขาก็โกรธขึ้นมา กระโดดลงจากเก้าอี้ เอาเท้าข้างหนึ่งเหยียบไว้บนเก้าอี้ตัวเล็ก แล้วพูดอย่างฉุนเฉียวว่า “พวกนายว่าท่านประธานนี่มีปัญหาอะไรหรือเปล่า ในเมื่อมามี้ยังไม่ตาย ทำไมต้องโกหกพวกเราว่ามามี้ตายแล้วด้วย?”
นิคแค่นหัวเราะ “บังเอิญจัง มามี้ก็พูดแบบนี้เหมือนกัน”
ตอนที่เขายังเด็กมาก เขาเคยถามมามี้ว่าปะป๊าไปไหน มามี้ก็บอกว่าเขาตายแล้ว
พอมาเจอวันนี้ ก็รู้สึกว่ามีก็เหมือนไม่มี ไม่เห็นจะต่างกันตรงไหนเลย
ทันใดนั้นมาร์คก็กลอกตาไปมา แล้วกลับไปนั่งบนเก้าอี้ ทำหน้าประจบประแจง “พี่นิค น้องแอนน์ พวกนายดูนะ พวกนายอยู่กับมามี้มาตั้งนานแล้ว ส่วนฉันกับมินนี่ยังไม่เคยได้อยู่กับมามี้เลย งั้น... เรามาสลับตัวกันดีไหม? ฉันกับมินนี่จะแกล้งเป็นพวกนายไปอยู่กับมามี้ ส่วนพวกนายสองคนก็แกล้งเป็นพวกเราไปอยู่กับท่านประธาน ได้อยู่บ้านหลังใหญ่ มีของอร่อยกินทุกวัน เงินของตระกูลวิศวะก็ให้พวกนายหมดเลย เป็นไง?”
พูดจบเขาก็ขยิบตาให้หนึ่งที
ขณะที่นิคกำลังจะพูด แอนน์ก็ดึงมือเขาไว้ จากนั้นก็หันไปหามาร์ค เธอเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แบบเดียวกัน “พี่มาร์ค อย่าเพิ่งรีบหลอกล่อพวกเราเลย บอกพวกเรามาก่อนว่ามินนี่เป็นอะไร? เธอป่วยเป็นโรคอะไร?”
“เฮอะ! พอพูดถึงเรื่องนี้แล้วฉันก็โมโห!” มาร์คเปลี่ยนสีหน้าทันที “ทั้งหมดเป็นความผิดของแพรวาผู้หญิงใจร้ายคนนั้น ที่ทำให้มินนี่ถูกลักพาตัวไป มินนี่ไม่รู้ว่าไปเจออะไรมาบ้าง จนทำให้เธอได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจ ตั้งแต่นั้นมา เธอก็กลายเป็นคนเก็บตัว ไม่ชอบพูดจา และไม่ยอมให้คนแปลกหน้าเข้าใกล้”
“เลวจริงๆ!” แอนน์กำหมัดเล็กๆ ทุบลงบนโต๊ะ “บังอาจมารังแกพี่สาวของฉัน ฉันไม่ปล่อยเธอไว้แน่!”
จากนั้น เธอก็หันไปหามินนี่ และเปลี่ยนเป็นน้องสาวที่อ่อนโยนน่ารักในทันที แล้วถามมินนี่ว่า “พี่สาว อยากอยู่กับมามี้ไหม?”
ในดวงตาที่ดูใสซื่อของมินนี่ก็มีประกายแห่งความหวังขึ้นมาทันที เธอพยักหน้าอย่างเขินอาย
“ดี! งั้นตกลงตามนี้!” แอนน์พูด “พี่มาร์ค พี่มินนี่ พวกเธอไปกับมามี้เถอะ มามี้ของพวกเราเก่งเรื่องการรักษา ต้องมีวิธีรักษาอาการป่วยของพี่มินนี่ได้แน่ ส่วนฉันกับพี่นิค จะไปตระกูลวิศวะแทนพวกเธอเอง พวกเราจะต้องสั่งสอนผู้หญิงใจร้ายคนนั้นให้สาสม!”
“เธอจะสั่งสอนหล่อนยังไง?” มาร์คถามด้วยสีหน้าตื่นเต้น “รีบพูดมาเร็วๆ ต้องให้ฉันช่วยไหม?”
หัวสองหัวโน้มเข้าหากัน
นิคถอนหายใจอย่างจนใจ “พวกเธอสองคน อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลย เวลาของเรามีจำกัด เอาเรื่องที่สำคัญก่อน”
“ก็ได้”
แอนน์กับมาร์คแยกกันนั่งให้เรียบร้อย
นิคมองไปที่มินนี่ซึ่งไม่พูดไม่จา ก็รู้สึกสงสารขึ้นมา น้ำเสียงที่เคยเย็นชาก็อ่อนโยนลง “มินนี่ พี่รู้ว่าเธอไม่อยากพูด แต่เธอฟังที่พี่พูดเข้าใจใช่ไหม?”
มินนี่พยักหน้า
นิค: “ดี มินนี่ มาร์ค พวกเธอฟังให้ดีนะ พวกเธอกลับไปอยู่กับมามี้แทนพวกเรา พยายามอย่าให้มามี้สังเกตเห็นความผิดปกติ ไม่อย่างนั้นถ้ารู้ว่าลูกอีกคู่หนึ่งของเธอยังมีชีวิตอยู่ เธอจะต้องไปเอาเรื่องกับท่านประธานแน่
ตอนนี้เธอเพิ่งกลับมาประเทศ กำลังยังน้อย ถ้าเกิดเรื่องตอนนี้ ท่านประธานอาจจะแย่งชิงพวกเราไป มามี้ก็ไม่มีปัญญาสู้กับเขาได้ ดังนั้น พวกเธอต้องปิดบังมามี้ และพวกเราก็ต้องปิดบังท่านประธาน
การกลับมาประเทศครั้งนี้ของมามี้ หลักๆ เป็นเพราะสตูดิโอที่เธอสร้างร่วมกับแม่ทูนหัวเกิดปัญหาขึ้น...”
“เกิดปัญหาอะไร?” มาร์คถามทันที “ต้องการเงินเหรอ? ฉันมี! ต้องการเท่าไหร่?”
“ไม่ใช่!” นิคพูดต่อ “เป็นเพราะพ่อของแม่ทูนหัวป่วย แม่ทูนหัวเลยไม่มีเวลามาดูแลเรื่องสตูดิโอ มามี้เลยต้องมารับช่วงต่อ เพื่อขยายตลาดธุรกิจในประเทศ”
"อ๋อๆ เข้าใจแล้ว" มาร์คพยักหน้า "พูดอีกอย่างก็คือ มามี้ของพวกเราจะยังไม่ไปไหนในเร็วๆ นี้ พวกเราต้องช่วยมามี้ให้ตั้งหลักที่เมือง เอ ให้ได้ ถึงตอนนั้น พวกเราสี่คนก็จะสามารถอยู่กับมามี้ได้ตลอดไปใช่ไหม?"
“ใช่!”
“โอเค! งั้นฉันรู้แล้วว่าต้องทำยังไง”
…
ในห้องส่วนตัว อัญชนีมองดูเวลา ผ่านไปสิบห้านาทีแล้ว แต่เด็กสองคนไปเข้าห้องน้ำยังไม่กลับมา
เธอกังวลว่าพวกเขาจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก จึงนั่งไม่ติด ต้องออกไปตามหา
ผลคือภวัตก็ออกมาตามหาคนพอดี ทั้งสองคนจึงเดินมาเจอกัน...
